• หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
    • ภาพรวม
    • ทีมวิทยากร
  • หลักสูตรอบรม
    • หลักสูตรอบรมการวางแผนการเงิน CFP®
    • Module 1
    • Module 2 หลักสูตรเดิม
    • Module 2 หลักสูตรปรับปรุงใหม่
    • Module 3
    • Module 4
    • Module 5
    • Module 6
    • หลักสูตรเตรียมความพร้อมเพื่อสอบ
    • Module 1
    • Module 2 หลักสูตรเดิม
    • Module 2 หลักสูตรปรับปรุงใหม่
    • Module 3
    • Module 4
    • Module 5
    • Module 6
    • E-Learning
    • ทบทวนหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP®
    • เตรียมสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP®
    • เตรียมสอบใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน IC
    • เพิ่มความรู้และทักษะการเงิน
  • อบรมภายในองค์กร
    • หลักสูตรอบรมภายในองค์กร (In-House)
  • สมัครอบรม
    • หลักสูตรอบรมและทบทวนการวางแผนการเงิน
    • คอร์สเรียนออนไลน์ E-Learning
  • ปฏิทิน
  • กิจกรรม
  • ข้อมูลควรรู้
    • บทความ
    • Investment Planner (IP)
    • Investment Consultant (IC)
    • About CFP
    • คุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP®
      • ข้อกำหนดด้านการศึกษา
      • ข้อกำหนดด้านการสอบ
  • ความประทับใจ
  • ติดต่อเรา

Credit Scoring เครื่องมือเช็คความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้

Post Title
28 ม.ค. 2562


เคยมีคนขอยืมเงินคุณไหม ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ญาติ เพื่อน รวมไปถึงคนที่อาจจะไม่ได้สนิทมากก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจให้เงินกับใครก็ตาม คุณคงพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้บ้างแน่ๆ จะยืมเท่าไร ระยะเวลายืมนานแค่ไหน อัตราดอกเบี้ยที่ชดเชยให้คุ้มหรือไม่ ดูแล้วเขาพอจะมีศักยภาพในการชำระคืนไหม ที่ต้องคิดหลายๆด้านนี้ ก็เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อให้ยืมแล้ว เขาจะไม่หายไปพร้อมกับเงินของคุณ

 

สถาบันการเงินก็เช่นกัน ก่อนที่จะอนุมัติปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอกู้ ซึ่งบางรายอาจจะไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นสถาบันการเงินจึงต้องกำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กู้รายนั้นจะสามารถจ่ายเงินคืนตามที่ตกลงไว้ เพราะหากลูกหนี้รายหนึ่งผิดนัดหรือกลายเป็นหนี้เสีย จะตกเป็นต้นทุนทั้งในแง่เวลาในการติดตามทวงหนี้ และต้นทุนทางการเงินของบริษัททันที

 

ด้วยปัญหาข้างต้น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) จึงได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า Credit Scoring ขึ้นมาเพื่อช่วยประเมินความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยคาดการณ์โอกาสที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระหนี้ และช่วยลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนดังกล่าวได้

 

ระบบ Credit Scoring ของเครดิตบูโรคืออะไร และพัฒนาขึ้นมาอย่างไร

 

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ข้อมูลเครดิต หรือ Credit Scoring เป็นโมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยลดปัญหาในการปล่อยกู้ให้แก่ผู้ที่ไม่พร้อมจะชำระหนี้คืน โดยจะบอกได้ว่าผู้กู้รายนั้นมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน เมื่อรับเงินไปแล้วเขามีความตั้งใจในการชำระคืนหนี้หรือไม่ โดยที่ Credit Scoring ถูกพัฒนาขึ้นจากข้อมูลธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดในทุกๆสถาบันการเงินของลูกค้า ในอดีตตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปี ว่ามีการใช้จ่ายเป็นอย่างไร มียอดการกู้ยืมอะไรบ้าง จำนวนเท่าไร มีการชำระเงินตรงเวลาไหม ผิดนัดชำระหรือไม่ หรือกระทั่งมีการขอวงเงินที่พร้อมจะกู้ยืมไว้มากน้อยขนาดไหน เป็นต้น จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าว มาสร้างแบบจำลอง เพื่อคำนวณเป็นคะแนนออกมาใช้ในการตัดสินใจวิเคราะห์ลูกค้า ซึ่งเรียกว่า Credit Bureau Score โดยมีการแบ่งกลุ่มออกเป็นเกรดตั้งแต่ HH - AA คิดเป็นคะแนนตั้งแต่ 300 - 900 คะแนน แต่ละ Score จะบอกสาเหตุของคะแนนที่ได้รับ และโอกาสที่ลูกหนี้จะชำระหนี้คือว่ามากหรือน้อยเท่าไร  เช่น หากคะแนนเครดิตของคุณอยู่ที่ 672 คะแนน ซึ่งถือว่าอยู่ระดับ DD และมีความน่าจะเป็นในการชำระคืนหนี้สิน 88% นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาส 12% ที่จะไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

 

ตารางคะแนนเครดิต


ช่วงคะแนน

ระดับคะแนนเครดิต

746 - 900

AA

716 - 745

BB

685 – 715

CC

668 – 684

DD

653 – 667

EE

631 – 652

FF

602 – 630

GG

300 – 601

HH


Credit Scoring มีประโยชน์กับสถาบันเงินอย่างไร

 

ปัจจุบันสถาบันการเงินแต่ละแห่งต่างมี Scoring ของตนเอง ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้า  ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากฐานข้อมูลลูกค้าและประสบการณ์ในอดีตของตนเอง ทำให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งมีความเข้มข้นของเกณฑ์แตกต่างกัน หากเกณฑ์การพิจารณาเข้มจนเกินไปอาจทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้ และในทางกลับกันเกณฑ์ที่ประณีประนอมมากไปก็อาจทำให้รับลูกค้ากลุ่มเสี่ยงเข้ามาได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามเกณฑ์ของสถาบันการเงิน มักจะบอกเฉพาะ "ศักยภาพในการชำระหนี้" เท่านั้น ดังนั้น Credit Scoring จะเข้ามาเป็นข้อมูลเสริม โดยจะช่วยวัด "ความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้" ตัวอย่างเช่น นาย A ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก Scoring ของสถาบันการเงิน พบว่าเขามีความสามารถในการชำระหนี้สูง แต่เมื่อพิจารณาด้วย Credit Scoring กลับพบว่านาย A มีความน่าเชื่อถือหรือมีความตั้งใจในการชำระหนี้ต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มว่าเขาจะกลายเป็นหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ที่มีเงิน มีหนี้ แต่ไม่ยอมจ่าย หรือที่เรียกว่าเป็นลูกหนี้ที่จงใจเป็นหนี้เสีย (Strategic NPL) เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว สถาบันการเงินก็อาจจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับนาย A เพื่อลดปัญหาหนี้เสียในอนาคต  หรืออาจจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

 

ทำไมวันนี้ท่านถึงควรทราบอันดับเครดิตของตนเอง

 

ในแง่ของผู้บริโภคหรือผู้ขอสินเชื่อเองนั้น Credit Scoring มีประโยชน์เช่นกัน เพราะคะแนนที่ออกมาจะบอกถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ และความสามารถในการก่อหนี้ของตนเอง เช่น หากคะแนนออกมาอยู่ในระดับ FF นั่นหมายความว่าท่านมีโอกาสสูง ที่จะมีปัญหาทางการเงินในอนาคตได้ ดังนั้นท่านควรจะพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายลง หรือหารายได้เพิ่มเติมเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้

หากมองในแง่ความน่าเชื่อของเครดิตแล้วผู้ที่มี Credit Scoring ที่ดีกว่าก็ควรได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าด้วยเช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศผู้มีเครดิตดีอาจจะกู้สถาบันการเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าผู้ที่มีเครดิตไม่ดี เป็นต้น ซึ่งถ้าหากในอนาคตบ้านเรามีการนำเอาวิธีการดังกล่าวมาใช้ ก็จะช่วยให้ท่านสามารถขอสินเชื่อได้ในอัตราที่ต่ำลงได้

 

ประโยชน์ในแง่ของผู้เล่นรายใหม่อย่าง FinTech

 

ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย และช่องทางการเข้าถึงที่สะดวกผ่านอินเตอร์เนท ทำให้ผู้มีเงินออม และผู้ต้องการแหล่งเงินทุน สามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆอย่าง การระดมทุนจากสาธารณะ (Crowd Funding) การกู้ยืมระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer Lending) ซึ่งเป็นช่องว่างที่ FinTech (Financial Technology) จะสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Credit Scoring โดยช่วยให้ผู้ที่ต้องการเงินสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือเงินกู้ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมตาม Credit Score ของตนเอง

 

นักวางแผนการเงินสามารถนำ Credit Scoring ไปใช้อย่างไรได้บ้าง

 

ในการให้คำแนะนำทางการเงินแก่ลูกค้าหรือผู้ขอรับคำปรึกษาวางแผนการเงิน การขอเอกสารรายงาน Credit Scoring ของลูกค้าจะบอกรายละเอียดการกู้ยืม พฤติกรรมการใช้จ่าย การชำระหนี้สินในแต่ละงวด ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพของหนี้ในระบบทั้งหมด และเห็นความตั้งใจในการชำระหนี้ของลูกค้า ทำให้นักวางแผนสามารถวิเคราะห์แก้ไขปัญหาทางการเงินของลูกค้าได้เหมาะสมยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้แล้วหากเป้าหมายของลูกค้าจำเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงิน อย่างการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือกู้ยืมเพื่อธุรกิจ นักวางแผนการเงินยังสามารถช่วยวางแผน “อัพเกรด” Credit Score ให้แก่ลูกค้าก่อนที่จะขอสินเชื่อข้างต้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับอนุมัติง่ายขึ้น และอาจได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่ดีขึ้น ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของลูกค้าได้ด้วยเช่นกัน

 

Credit Scoring เป็นอีกเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากซึ่งจะช่วยให้นักวางแผนการเงิน สามารถนำไปใช้ประกอบคำแนะนำแก่ลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการบริหารสภาพคล่องและการบริหารหนี้สิน เพื่อช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะประสบปัญหาทางการเงินในอนาคตได้

ท้ายสุดนี้อยากสนับสนุนให้เพื่อนนักวางแผนการเงินทุกท่านตรวจเช็ค Credit Scoring ของตนเองก่อนที่จะไปให้คำแนะนำลูกค้าครับ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวท่านเอง เพราะหากลูกค้าได้ Score ดีกว่า ท่านจะให้แนะนำลูกค้าได้อย่างไร

(สามารถขอ Credit Scoring ได้ที่ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อาคาร 2 ชั้น 2 ทุกวันจ. - ศ. 09.00 – 16.30 น.)

Search our Blog

Recent Posts

Categories

Archive

  • CMSK
    Center of Money Skills and Knowledge.